เมษายน 12, 2025

สินค้าของเรา

Blog

รู้จัก หญ้าเนเปียร์ พืชอาหารสัตว์ยอดนิยม ปลูกง่าย ผลผลิตปัง

คลังบทความ
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

Last Updated on กุมภาพันธ์ 10, 2025 by admin

หญ้าเนเปียร์ (Pennisetum purpureum) หรือที่รู้จักกันในชื่อ หญ้าเลี้ยงช้าง เป็นหญ้าที่ได้รับความนิยมปลูกอย่างแพร่หลายในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ด้วยคุณสมบัติเด่นที่โตเร็ว ให้ผลผลิตสูง และมีประโยชน์หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอาหารสัตว์ บทความนี้จะพาไปรู้จักกับหญ้าเนเปียร์ให้มากขึ้น ทั้งลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และสายพันธุ์ที่นิยมปลูกกันในประเทศไทย พร้อมทั้งจุดเด่นของแต่ละสายพันธุ์

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

  • ลำต้น: หญ้าเนเปียร์เป็นหญ้าที่มีลำต้นเป็นกอ ตั้งตรง สูงได้ถึง 3-4 เมตร ลำต้นแข็งแรง สีเขียว มีข้อปล้องชัดเจน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-3 เซนติเมตร
  • ใบ: ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบคม ปลายใบแหลม สีเขียวเข้ม กว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร ยาว 30-100 เซนติเมตร ใบจะเรียงสลับกันตามข้อของลำต้น
  • ระบบราก: มีระบบรากเป็นรากฝอย แผ่กระจายลงดินได้ลึกและกว้าง ช่วยให้หญ้าเนเปียร์ทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี
  • ดอก: ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ลักษณะคล้ายหางกระรอก สีม่วงอมน้ำตาล แต่โดยทั่วไปหญ้าเนเปียร์ที่ปลูกเพื่อการค้ามักไม่ค่อยออกดอก หรือเป็นพันธุ์ที่ไม่ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ทำให้ควบคุมการแพร่กระจายได้ง่าย

ประโยชน์ของหญ้าเนเปียร์

1. อาหารสัตว์คุณภาพเยี่ยม: นี่คือประโยชน์หลักที่ทำให้หญ้าเนเปียร์เป็นที่นิยม

  • คุณค่าทางโภชนาการสูง: หญ้าเนเปียร์มีโปรตีนและเยื่อใยอาหารในระดับที่เหมาะสมสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ ช่วยให้สัตว์เจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดี
  • ผลผลิตต่อไร่สูง: หญ้าเนเปียร์โตเร็วมาก ตัดเกี่ยวได้หลายครั้งต่อปี ทำให้มีอาหารสัตว์ปริมาณมากเพียงพอต่อการเลี้ยงสัตว์จำนวนมาก หรือเลี้ยงในเชิงธุรกิจ
  • สัตว์ชอบกิน: มีรสชาติหวานเล็กน้อย ทำให้สัตว์ส่วนใหญ่ชอบกิน หญ้าเนเปียร์จึงเป็นอาหารที่สัตว์กินได้ดี

2. พลังงานชีวมวล: หญ้าเนเปียร์เป็นพืชพลังงานศักยภาพสูง

  • ให้ชีวมวลมาก: ผลผลิตชีวมวลแห้งสูง เหมาะสำหรับนำไปใช้ผลิตพลังงานความร้อน ไฟฟ้า หรือเชื้อเพลิงชีวภาพอื่นๆ
  • พลังงานหมุนเวียน: การใช้หญ้าเนเปียร์เป็นพลังงานชีวมวล เป็นทางเลือกพลังงานสะอาด ลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

3. ปรับปรุงดินและป้องกันดินพังทลาย:

  • คลุมดิน: ปลูกหญ้าเนเปียร์หนาแน่น ช่วยคลุมผิวดิน ลดการชะล้างหน้าดิน
  • เพิ่มอินทรียวัตถุ: เมื่อหญ้าเนเปียร์ย่อยสลาย จะเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ช่วยให้ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้น

4. ประโยชน์อื่นๆ:

  • ใช้ทำปุ๋ยหมัก: ส่วนต่างๆ ของหญ้าเนเปียร์นำมาทำปุ๋ยหมักได้
  • งานหัตถกรรม: ลำต้นแห้งใช้จักสานทำตะกร้า หรือเครื่องใช้ต่างๆ ได้

หญ้าเนเปียร์ ปลูกกี่เดือน ?

โดยทั่วไป หญ้าเนเปียร์สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 2-3 เดือนหลังปลูก แต่ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวจริงๆ จะขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ของการปลูก และ การจัดการดูแล เป็นหลัก

เพื่อให้เข้าใจรายละเอียดมากขึ้น เรามาพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อระยะเวลาการเก็บเกี่ยวหญ้าเนเปียร์กัน

วัตถุประสงค์ของการปลูก:

  • ปลูกเพื่อเป็นอาหารสัตว์ (เน้นหญ้าอ่อน): หากปลูกเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสัตว์เล็ก หรือต้องการหญ้าอ่อนที่มีโปรตีนสูง ควรเก็บเกี่ยวเมื่อ อายุประมาณ 45-60 วัน หรือ 1.5 – 2 เดือน หลังปลูก ในช่วงนี้ หญ้าเนเปียร์จะมีลำต้นอ่อน ใบเยอะ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะสำหรับสัตว์หากต้องการเน้นปริมาณผลผลิต และเลี้ยงสัตว์โต หรือสัตว์เคี้ยวเอื้องที่ต้องการเยื่อใยอาหารมากขึ้น สามารถรอเก็บเกี่ยวเมื่อ อายุประมาณ 60-90 วัน หรือ 2 – 3 เดือน หลังปลูก หญ้าเนเปียร์ในช่วงนี้จะมีลำต้นที่ใหญ่ขึ้น ใบอาจจะน้อยลงเล็กน้อย แต่จะได้น้ำหนักสดต่อไร่ที่มากขึ้น
  • ปลูกเพื่อผลิตพลังงานชีวมวล: หากปลูกเพื่อนำไปผลิตพลังงานชีวมวล อาจจะรอเก็บเกี่ยวเมื่อ อายุ 3-4 เดือน หรือนานกว่านั้น เพื่อให้ได้ปริมาณชีวมวลแห้งสูงสุด แต่โดยทั่วไปการเก็บเกี่ยวเพื่ออาหารสัตว์ที่อายุ 2-3 เดือนก็สามารถนำไปใช้เป็นชีวมวลได้เช่นกัน

2. สายพันธุ์หญ้าเนเปียร์:

  • สายพันธุ์ต่างๆ มีอัตราการเจริญเติบโตแตกต่างกัน: บางสายพันธุ์โตเร็ว อาจเก็บเกี่ยวได้เร็ว เช่น สายพันธุ์ปากช่อง 1 บางสายพันธุ์อาจโตช้ากว่าเล็กน้อย ดังนั้นควรเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และสภาพพื้นที่

3. สภาพแวดล้อมและฤดูกาล:

  • ฤดูฝน: หญ้าเนเปียร์จะเจริญเติบโตได้ดีมากในฤดูฝน เนื่องจากได้รับน้ำและความชื้นเพียงพอ อาจจะเก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้นเล็กน้อย
  • ฤดูแล้ง: การเจริญเติบโตอาจช้าลงบ้างในฤดูแล้ง หากไม่มีการให้น้ำอย่างเพียงพอ ระยะเวลาการเก็บเกี่ยวอาจจะนานขึ้นเล็กน้อย
  • อุณหภูมิ: อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของหญ้าเนเปียร์คือ 25-30 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิต่ำหรือสูงเกินไป อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตและระยะเวลาการเก็บเกี่ยว

หญ้าเนเปียร์มีกี่สายพันธุ์ ?

ในปัจจุบันมีสายพันธุ์หญ้าเนเปียร์หลายชนิดที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย เนื่องจากความเหมาะสมในสภาพอากาศและดินของแต่ละพื้นที่ โดยสามารถแบ่งออกเป็นสายพันธุ์หลัก ๆ ดังนี้

1. หญ้าเนเปียร์ยักษ์

ลักษณะเฉพาะ:

  • ลำต้นของหญ้าเนเปียร์ยักษ์มีความสูงและความแข็งแรงที่โดดเด่น ทำให้แตกกอได้ง่ายและให้ผลผลิตต่อไร่สูง
  • ใบมีขนาดใหญ่และอุดมไปด้วยสารอาหาร ทำให้อาหารสัตว์มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

ข้อดีและการใช้งาน:

  • เหมาะสำหรับฟาร์มที่มีระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยที่ดี เนื่องจากจะให้ผลผลิตสูงในทุกฤดูกาล
  • นิยมใช้เป็นอาหารสัตว์สดหรือทำเป็นหญ้าหมักสำหรับเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มขนาดใหญ่
  • ให้ผลผลิตที่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทำให้เกษตรกรสามารถคาดการณ์รายได้ได้ดี

2. หญ้าเนเปียร์แคระ

ลักษณะเฉพาะ:

  • เป็นสายพันธุ์ที่มีลำต้นเตี้ยและเป็นพุ่มมากกว่า มีการแตกกองได้ง่าย
  • มีใบที่อุดมไปด้วยสารอาหารแต่มีขนาดเล็กกว่าแบบยักษ์

ข้อดีและการใช้งาน:

  • เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัดหรือฟาร์มขนาดเล็กที่ต้องการปลูกหญ้าในพื้นที่จำกัด
  • สามารถปลูกเป็นแถวหรือเป็นพุ่มในสวนฟาร์มเพื่อให้สัตว์ได้รับอาหารสดที่มีคุณภาพ
  • ด้วยลักษณะของการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและแตกกองง่าย เกษตรกรสามารถจัดการได้ง่ายและลดต้นทุนการ

3. หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1

ลักษณะเฉพาะ:

  • เป็นสายพันธุ์ลูกผสมที่พัฒนามาจากการคัดเลือกพันธุ์หญ้าเนเปียร์ยักษ์และพันธุ์อื่น ๆ
  • ลักษณะเด่นคือ ลำต้นสูงใหญ่และอวบอำนวย เมื่อออกดอกจะมีความสูงถึงปลายช่อดอกในระดับที่เหมาะสม
  • ผลผลิตที่ได้รับทั้งในรูปแบบของหญ้าสดและหญ้าหมักมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะในเรื่องของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต

ข้อดีและการใช้งาน:

  • ให้ผลผลิตสูงต่อไร่ต่อรอบการตัด และสามารถตัดได้หลายครั้งต่อปี ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเกษตรกรที่ต้องการอาหารสัตว์ที่ต่อเนื่อง
  • เหมาะสำหรับการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มขนาดใหญ่และมีการจัดการที่เข้มงวดในเรื่องการให้น้ำและปุ๋ย
  • สายพันธุ์นี้ได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ ทำให้มีความน่าเชื่อถือในด้านผลผลิตและคุณภาพ

หญ้าเนเปียร์ ราคา เท่าไหร่ ?

ราคาของหญ้าเนเปียร์ ทั้ง3 สายพันธุ์ นั้น จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ปัจจัยหลักๆ ที่มีผลต่อราคา ได้แก่:

  • รูปแบบการจำหน่าย: จำหน่ายเป็นท่อนพันธุ์ (cuttings), หน่อพันธุ์ (slips), หรือต้นกล้าในถุงเพาะ
  • ปริมาณการสั่งซื้อ: ซื้อจำนวนมาก ราคามักจะถูกลงต่อหน่วย
  • แหล่งจำหน่าย: ราคาจากร้านค้าทั่วไป, ฟาร์มเพาะพันธุ์โดยตรง, หรือจากงานแสดงสินค้าเกษตร อาจแตกต่างกัน
  • ฤดูกาล: บางครั้งราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เช่น ในช่วงฤดูฝน อาจมีท่อนพันธุ์และหน่อพันธุ์เยอะ ราคาอาจจะถูกลงเล็กน้อย
  • พื้นที่/ภูมิภาค: ราคาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากค่าขนส่งและต้นทุนการผลิตที่แตกต่างกัน

1. หญ้าเนเปียร์ยักษ์ (King Grass):

  • ลักษณะการจำหน่าย: ส่วนใหญ่นิยมจำหน่ายเป็น ท่อนพันธุ์ (cuttings) เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่เจริญเติบโตได้ดีและขยายพันธุ์ง่ายด้วยท่อนพันธุ์
  • ราคาโดยประมาณ (ท่อนพันธุ์):
    • ราคาต่อท่อน: ประมาณ 0.5 – 2 บาท ต่อท่อน
    • ราคาต่อ 100 ท่อน: ประมาณ 50 – 200 บาท ต่อ 100 ท่อน
    • ราคาต่อ 1,000 ท่อน: ประมาณ 500 – 2,000 บาท ต่อ 1,000 ท่อน

2. หญ้าเนเปียร์แคระ (Mott Dwarf Elephant Grass):

  • ลักษณะการจำหน่าย: นิยมจำหน่ายทั้ง ท่อนพันธุ์ (cuttings) และ หน่อพันธุ์ (slips) หรือบางครั้งอาจมี ต้นกล้าในถุงเพาะ
  • ราคาโดยประมาณ (ท่อนพันธุ์):
    • ราคาต่อท่อน: ประมาณ 1 – 3 บาท ต่อท่อน
    • ราคาต่อ 100 ท่อน: ประมาณ 100 – 300 บาท ต่อ 100 ท่อน
    • ราคาต่อ 1,000 ท่อน: ประมาณ 1,000 – 3,000 บาท ต่อ 1,000 ท่อน
  • ราคาโดยประมาณ (หน่อพันธุ์ หรือ ต้นกล้าในถุงเพาะ):
    • ราคาต่อหน่อ/ต้น: ประมาณ 5 – 15 บาท ต่อหน่อ/ต้น
    • ราคาต่อ 10 หน่อ/ต้น: ประมาณ 50 – 150 บาท ต่อ 10 หน่อ/ต้น
    • ราคาต่อ 100 หน่อ/ต้น: ประมาณ 500 – 1,500 บาท ต่อ 100 หน่อ/ต้น

3. หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 (Pak Chong 1):

  • ลักษณะการจำหน่าย: นิยมจำหน่ายเป็น ท่อนพันธุ์ (cuttings) เป็นหลัก แต่บางแหล่งอาจมี หน่อพันธุ์ (slips) หรือ ต้นกล้าในถุงเพาะ บ้าง
  • ราคาโดยประมาณ (ท่อนพันธุ์):
    • ราคาต่อท่อน: ประมาณ 1 – 3 บาท ต่อท่อน (หนึ่งบาท ถึง สามบาท ต่อท่อน)
    • ราคาต่อ 100 ท่อน: ประมาณ 100 – 300 บาท ต่อ 100 ท่อน
    • ราคาต่อ 1,000 ท่อน: ประมาณ 1,000 – 3,000 บาท ต่อ 1,000 ท่อน
  • ราคาโดยประมาณ (หน่อพันธุ์ หรือ ต้นกล้าในถุงเพาะ):
    • ราคาต่อหน่อ/ต้น: ประมาณ 5 – 20 บาท ต่อหน่อ/ต้น
    • ราคาต่อ 10 หน่อ/ต้น: ประมาณ 50 – 200 บาท ต่อ 10 หน่อ/ต้น
    • ราคาต่อ 100 หน่อ/ต้น: ประมาณ 500 – 2,000 บาท ต่อ 100 หน่อ/ต้น

ข้อควรระวัง:

  • ระวังพันธุ์ปลอม: ควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อหลีกเลี่ยงการได้พันธุ์หญ้าเนเปียร์ปลอม หรือพันธุ์ที่ไม่ตรงตามสายพันธุ์ที่ต้องการ
  • ตรวจสอบสภาพท่อนพันธุ์/หน่อพันธุ์: เลือกท่อนพันธุ์/หน่อพันธุ์ที่สดใหม่ สมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยโรคและแมลง เพื่อให้มั่นใจว่าการปลูกจะได้ผลดี

อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน

เพิ่มเพื่อน

error: Content is protected !!