Last Updated on กุมภาพันธ์ 10, 2025 by admin
หญ้าเนเปียร์ (Pennisetum purpureum) หรือที่รู้จักกันในชื่อ หญ้าเลี้ยงช้าง เป็นหญ้าที่ได้รับความนิยมปลูกอย่างแพร่หลายในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ด้วยคุณสมบัติเด่นที่โตเร็ว ให้ผลผลิตสูง และมีประโยชน์หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอาหารสัตว์ บทความนี้จะพาไปรู้จักกับหญ้าเนเปียร์ให้มากขึ้น ทั้งลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และสายพันธุ์ที่นิยมปลูกกันในประเทศไทย พร้อมทั้งจุดเด่นของแต่ละสายพันธุ์
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- ลำต้น: หญ้าเนเปียร์เป็นหญ้าที่มีลำต้นเป็นกอ ตั้งตรง สูงได้ถึง 3-4 เมตร ลำต้นแข็งแรง สีเขียว มีข้อปล้องชัดเจน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-3 เซนติเมตร
- ใบ: ใบมีลักษณะยาวรี ขอบใบคม ปลายใบแหลม สีเขียวเข้ม กว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร ยาว 30-100 เซนติเมตร ใบจะเรียงสลับกันตามข้อของลำต้น
- ระบบราก: มีระบบรากเป็นรากฝอย แผ่กระจายลงดินได้ลึกและกว้าง ช่วยให้หญ้าเนเปียร์ทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี
- ดอก: ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ลักษณะคล้ายหางกระรอก สีม่วงอมน้ำตาล แต่โดยทั่วไปหญ้าเนเปียร์ที่ปลูกเพื่อการค้ามักไม่ค่อยออกดอก หรือเป็นพันธุ์ที่ไม่ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ทำให้ควบคุมการแพร่กระจายได้ง่าย
ประโยชน์ของหญ้าเนเปียร์
1. อาหารสัตว์คุณภาพเยี่ยม: นี่คือประโยชน์หลักที่ทำให้หญ้าเนเปียร์เป็นที่นิยม
- คุณค่าทางโภชนาการสูง: หญ้าเนเปียร์มีโปรตีนและเยื่อใยอาหารในระดับที่เหมาะสมสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ ช่วยให้สัตว์เจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดี
- ผลผลิตต่อไร่สูง: หญ้าเนเปียร์โตเร็วมาก ตัดเกี่ยวได้หลายครั้งต่อปี ทำให้มีอาหารสัตว์ปริมาณมากเพียงพอต่อการเลี้ยงสัตว์จำนวนมาก หรือเลี้ยงในเชิงธุรกิจ
- สัตว์ชอบกิน: มีรสชาติหวานเล็กน้อย ทำให้สัตว์ส่วนใหญ่ชอบกิน หญ้าเนเปียร์จึงเป็นอาหารที่สัตว์กินได้ดี
2. พลังงานชีวมวล: หญ้าเนเปียร์เป็นพืชพลังงานศักยภาพสูง
- ให้ชีวมวลมาก: ผลผลิตชีวมวลแห้งสูง เหมาะสำหรับนำไปใช้ผลิตพลังงานความร้อน ไฟฟ้า หรือเชื้อเพลิงชีวภาพอื่นๆ
- พลังงานหมุนเวียน: การใช้หญ้าเนเปียร์เป็นพลังงานชีวมวล เป็นทางเลือกพลังงานสะอาด ลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล
3. ปรับปรุงดินและป้องกันดินพังทลาย:
- คลุมดิน: ปลูกหญ้าเนเปียร์หนาแน่น ช่วยคลุมผิวดิน ลดการชะล้างหน้าดิน
- เพิ่มอินทรียวัตถุ: เมื่อหญ้าเนเปียร์ย่อยสลาย จะเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ช่วยให้ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้น
4. ประโยชน์อื่นๆ:
- ใช้ทำปุ๋ยหมัก: ส่วนต่างๆ ของหญ้าเนเปียร์นำมาทำปุ๋ยหมักได้
- งานหัตถกรรม: ลำต้นแห้งใช้จักสานทำตะกร้า หรือเครื่องใช้ต่างๆ ได้
หญ้าเนเปียร์ ปลูกกี่เดือน ?
โดยทั่วไป หญ้าเนเปียร์สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 2-3 เดือนหลังปลูก แต่ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวจริงๆ จะขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ของการปลูก และ การจัดการดูแล เป็นหลัก
เพื่อให้เข้าใจรายละเอียดมากขึ้น เรามาพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อระยะเวลาการเก็บเกี่ยวหญ้าเนเปียร์กัน
วัตถุประสงค์ของการปลูก:
- ปลูกเพื่อเป็นอาหารสัตว์ (เน้นหญ้าอ่อน): หากปลูกเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสัตว์เล็ก หรือต้องการหญ้าอ่อนที่มีโปรตีนสูง ควรเก็บเกี่ยวเมื่อ อายุประมาณ 45-60 วัน หรือ 1.5 – 2 เดือน หลังปลูก ในช่วงนี้ หญ้าเนเปียร์จะมีลำต้นอ่อน ใบเยอะ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะสำหรับสัตว์หากต้องการเน้นปริมาณผลผลิต และเลี้ยงสัตว์โต หรือสัตว์เคี้ยวเอื้องที่ต้องการเยื่อใยอาหารมากขึ้น สามารถรอเก็บเกี่ยวเมื่อ อายุประมาณ 60-90 วัน หรือ 2 – 3 เดือน หลังปลูก หญ้าเนเปียร์ในช่วงนี้จะมีลำต้นที่ใหญ่ขึ้น ใบอาจจะน้อยลงเล็กน้อย แต่จะได้น้ำหนักสดต่อไร่ที่มากขึ้น
- ปลูกเพื่อผลิตพลังงานชีวมวล: หากปลูกเพื่อนำไปผลิตพลังงานชีวมวล อาจจะรอเก็บเกี่ยวเมื่อ อายุ 3-4 เดือน หรือนานกว่านั้น เพื่อให้ได้ปริมาณชีวมวลแห้งสูงสุด แต่โดยทั่วไปการเก็บเกี่ยวเพื่ออาหารสัตว์ที่อายุ 2-3 เดือนก็สามารถนำไปใช้เป็นชีวมวลได้เช่นกัน
2. สายพันธุ์หญ้าเนเปียร์:
- สายพันธุ์ต่างๆ มีอัตราการเจริญเติบโตแตกต่างกัน: บางสายพันธุ์โตเร็ว อาจเก็บเกี่ยวได้เร็ว เช่น สายพันธุ์ปากช่อง 1 บางสายพันธุ์อาจโตช้ากว่าเล็กน้อย ดังนั้นควรเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และสภาพพื้นที่
3. สภาพแวดล้อมและฤดูกาล:
- ฤดูฝน: หญ้าเนเปียร์จะเจริญเติบโตได้ดีมากในฤดูฝน เนื่องจากได้รับน้ำและความชื้นเพียงพอ อาจจะเก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้นเล็กน้อย
- ฤดูแล้ง: การเจริญเติบโตอาจช้าลงบ้างในฤดูแล้ง หากไม่มีการให้น้ำอย่างเพียงพอ ระยะเวลาการเก็บเกี่ยวอาจจะนานขึ้นเล็กน้อย
- อุณหภูมิ: อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของหญ้าเนเปียร์คือ 25-30 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิต่ำหรือสูงเกินไป อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตและระยะเวลาการเก็บเกี่ยว
หญ้าเนเปียร์มีกี่สายพันธุ์ ?
ในปัจจุบันมีสายพันธุ์หญ้าเนเปียร์หลายชนิดที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย เนื่องจากความเหมาะสมในสภาพอากาศและดินของแต่ละพื้นที่ โดยสามารถแบ่งออกเป็นสายพันธุ์หลัก ๆ ดังนี้
1. หญ้าเนเปียร์ยักษ์
ลักษณะเฉพาะ:
- ลำต้นของหญ้าเนเปียร์ยักษ์มีความสูงและความแข็งแรงที่โดดเด่น ทำให้แตกกอได้ง่ายและให้ผลผลิตต่อไร่สูง
- ใบมีขนาดใหญ่และอุดมไปด้วยสารอาหาร ทำให้อาหารสัตว์มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
ข้อดีและการใช้งาน:
- เหมาะสำหรับฟาร์มที่มีระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยที่ดี เนื่องจากจะให้ผลผลิตสูงในทุกฤดูกาล
- นิยมใช้เป็นอาหารสัตว์สดหรือทำเป็นหญ้าหมักสำหรับเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มขนาดใหญ่
- ให้ผลผลิตที่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทำให้เกษตรกรสามารถคาดการณ์รายได้ได้ดี
2. หญ้าเนเปียร์แคระ
ลักษณะเฉพาะ:
- เป็นสายพันธุ์ที่มีลำต้นเตี้ยและเป็นพุ่มมากกว่า มีการแตกกองได้ง่าย
- มีใบที่อุดมไปด้วยสารอาหารแต่มีขนาดเล็กกว่าแบบยักษ์
ข้อดีและการใช้งาน:
- เหมาะสำหรับพื้นที่จำกัดหรือฟาร์มขนาดเล็กที่ต้องการปลูกหญ้าในพื้นที่จำกัด
- สามารถปลูกเป็นแถวหรือเป็นพุ่มในสวนฟาร์มเพื่อให้สัตว์ได้รับอาหารสดที่มีคุณภาพ
- ด้วยลักษณะของการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและแตกกองง่าย เกษตรกรสามารถจัดการได้ง่ายและลดต้นทุนการ
3. หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1
ลักษณะเฉพาะ:
- เป็นสายพันธุ์ลูกผสมที่พัฒนามาจากการคัดเลือกพันธุ์หญ้าเนเปียร์ยักษ์และพันธุ์อื่น ๆ
- ลักษณะเด่นคือ ลำต้นสูงใหญ่และอวบอำนวย เมื่อออกดอกจะมีความสูงถึงปลายช่อดอกในระดับที่เหมาะสม
- ผลผลิตที่ได้รับทั้งในรูปแบบของหญ้าสดและหญ้าหมักมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะในเรื่องของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต
ข้อดีและการใช้งาน:
- ให้ผลผลิตสูงต่อไร่ต่อรอบการตัด และสามารถตัดได้หลายครั้งต่อปี ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเกษตรกรที่ต้องการอาหารสัตว์ที่ต่อเนื่อง
- เหมาะสำหรับการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มขนาดใหญ่และมีการจัดการที่เข้มงวดในเรื่องการให้น้ำและปุ๋ย
- สายพันธุ์นี้ได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ ทำให้มีความน่าเชื่อถือในด้านผลผลิตและคุณภาพ
หญ้าเนเปียร์ ราคา เท่าไหร่ ?
ราคาของหญ้าเนเปียร์ ทั้ง3 สายพันธุ์ นั้น จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ปัจจัยหลักๆ ที่มีผลต่อราคา ได้แก่:
- รูปแบบการจำหน่าย: จำหน่ายเป็นท่อนพันธุ์ (cuttings), หน่อพันธุ์ (slips), หรือต้นกล้าในถุงเพาะ
- ปริมาณการสั่งซื้อ: ซื้อจำนวนมาก ราคามักจะถูกลงต่อหน่วย
- แหล่งจำหน่าย: ราคาจากร้านค้าทั่วไป, ฟาร์มเพาะพันธุ์โดยตรง, หรือจากงานแสดงสินค้าเกษตร อาจแตกต่างกัน
- ฤดูกาล: บางครั้งราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เช่น ในช่วงฤดูฝน อาจมีท่อนพันธุ์และหน่อพันธุ์เยอะ ราคาอาจจะถูกลงเล็กน้อย
- พื้นที่/ภูมิภาค: ราคาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากค่าขนส่งและต้นทุนการผลิตที่แตกต่างกัน
1. หญ้าเนเปียร์ยักษ์ (King Grass):
- ลักษณะการจำหน่าย: ส่วนใหญ่นิยมจำหน่ายเป็น ท่อนพันธุ์ (cuttings) เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่เจริญเติบโตได้ดีและขยายพันธุ์ง่ายด้วยท่อนพันธุ์
- ราคาโดยประมาณ (ท่อนพันธุ์):
- ราคาต่อท่อน: ประมาณ 0.5 – 2 บาท ต่อท่อน
- ราคาต่อ 100 ท่อน: ประมาณ 50 – 200 บาท ต่อ 100 ท่อน
- ราคาต่อ 1,000 ท่อน: ประมาณ 500 – 2,000 บาท ต่อ 1,000 ท่อน
2. หญ้าเนเปียร์แคระ (Mott Dwarf Elephant Grass):
- ลักษณะการจำหน่าย: นิยมจำหน่ายทั้ง ท่อนพันธุ์ (cuttings) และ หน่อพันธุ์ (slips) หรือบางครั้งอาจมี ต้นกล้าในถุงเพาะ
- ราคาโดยประมาณ (ท่อนพันธุ์):
- ราคาต่อท่อน: ประมาณ 1 – 3 บาท ต่อท่อน
- ราคาต่อ 100 ท่อน: ประมาณ 100 – 300 บาท ต่อ 100 ท่อน
- ราคาต่อ 1,000 ท่อน: ประมาณ 1,000 – 3,000 บาท ต่อ 1,000 ท่อน
- ราคาโดยประมาณ (หน่อพันธุ์ หรือ ต้นกล้าในถุงเพาะ):
- ราคาต่อหน่อ/ต้น: ประมาณ 5 – 15 บาท ต่อหน่อ/ต้น
- ราคาต่อ 10 หน่อ/ต้น: ประมาณ 50 – 150 บาท ต่อ 10 หน่อ/ต้น
- ราคาต่อ 100 หน่อ/ต้น: ประมาณ 500 – 1,500 บาท ต่อ 100 หน่อ/ต้น
3. หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 (Pak Chong 1):
- ลักษณะการจำหน่าย: นิยมจำหน่ายเป็น ท่อนพันธุ์ (cuttings) เป็นหลัก แต่บางแหล่งอาจมี หน่อพันธุ์ (slips) หรือ ต้นกล้าในถุงเพาะ บ้าง
- ราคาโดยประมาณ (ท่อนพันธุ์):
- ราคาต่อท่อน: ประมาณ 1 – 3 บาท ต่อท่อน (หนึ่งบาท ถึง สามบาท ต่อท่อน)
- ราคาต่อ 100 ท่อน: ประมาณ 100 – 300 บาท ต่อ 100 ท่อน
- ราคาต่อ 1,000 ท่อน: ประมาณ 1,000 – 3,000 บาท ต่อ 1,000 ท่อน
- ราคาโดยประมาณ (หน่อพันธุ์ หรือ ต้นกล้าในถุงเพาะ):
- ราคาต่อหน่อ/ต้น: ประมาณ 5 – 20 บาท ต่อหน่อ/ต้น
- ราคาต่อ 10 หน่อ/ต้น: ประมาณ 50 – 200 บาท ต่อ 10 หน่อ/ต้น
- ราคาต่อ 100 หน่อ/ต้น: ประมาณ 500 – 2,000 บาท ต่อ 100 หน่อ/ต้น
ข้อควรระวัง:
- ระวังพันธุ์ปลอม: ควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อหลีกเลี่ยงการได้พันธุ์หญ้าเนเปียร์ปลอม หรือพันธุ์ที่ไม่ตรงตามสายพันธุ์ที่ต้องการ
- ตรวจสอบสภาพท่อนพันธุ์/หน่อพันธุ์: เลือกท่อนพันธุ์/หน่อพันธุ์ที่สดใหม่ สมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยโรคและแมลง เพื่อให้มั่นใจว่าการปลูกจะได้ผลดี
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน