ผักเบี้ยใหญ่ (Portulaca oleracea L.) หรือที่เรียกในบางพื้นที่ว่า “ผักเบี้ย” หรือ “ผักเบี้ยล้ม” เป็นวัชพืชที่พบได้ทั่วไปในเขตร้อนและเขตอบอุ่น รวมถึงประเทศไทย ซึ่งขึ้นง่ายในพื้นที่รกร้างหรือในแปลงเกษตรกรรม ผักเบี้ยใหญ่ไม่เพียงแต่เป็นวัชพืชที่ต้องควบคุมในแปลงเพาะปลูก แต่ยังเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการและใช้ประโยชน์ในทางสมุนไพรอีกด้วย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
- ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ สีม่วงแดง หรือเขียวอมแดง มีความยืดหยุ่นและเหนียว
- ลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้นดินและแตกกิ่งก้านสาขา บางส่วนชูยอดตั้งขึ้นเล็กน้อย
- ความยาวลำต้นสามารถเติบโตได้ถึง 30-40 เซนติเมตร
ใบ
- ใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้ามกันตามข้อของลำต้น
- รูปร่างใบเป็นรูปไข่กลับหรือรูปลิ่ม ขนาดใบกว้างประมาณ 1-2 เซนติเมตร และยาว 2-4 เซนติเมตร
- ใบมีลักษณะหนา อวบน้ำ ผิวใบเรียบมันเงา ด้านบนสีเขียวสด ด้านล่างสีออกแดง
ดอก
- ดอกมีขนาดเล็ก สีเหลืองสด มักออกเป็นช่อตามข้อของลำต้นหรือปลายยอด
- แต่ละช่อมีดอกประมาณ 3-5 ดอก กลีบดอกจำนวน 5 กลีบ รูปไข่กลับ
ผลและเมล็ด
- ผลเป็นแบบแคปซูล เมื่อแก่จะแตกออกเพื่อปลดปล่อยเมล็ด
- เมล็ดมีลักษณะกลมหรือรี สีดำ หรือเทาดำ มีขนาดเล็กมาก หนักประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร
การแพร่พันธุ์
ผักเบี้ยใหญ่เป็นวัชพืชที่แพร่พันธุ์ได้ทั้งทางเมล็ดและการงอกของลำต้น:
- เมล็ด
- เมล็ดของผักเบี้ยใหญ่มีจำนวนมากในผลเดียว สามารถกระจายไปกับลม น้ำ หรือแมลงได้ง่าย
- เมล็ดมีความทนทานสูง และสามารถงอกได้แม้อยู่ในสภาพดินที่ไม่สมบูรณ์
- ลำต้น
- ลำต้นของผักเบี้ยใหญ่สามารถเจริญเติบโตได้อีก หากถูกตัดหรือขาด และยังคงความสามารถในการสร้างรากได้เมื่อสัมผัสกับดิน
สารเคมีที่นิยมใช้ในการกำจัด
ก่อนวัชพืชงอก (Pre-emergence)
- อะซีโทคลอร์ (Acetochlor):
เป็นสารกำจัดวัชพืชในดินที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้เพื่อป้องกันการงอกของวัชพืชใบกว้าง- อัตราการใช้: 300-500 มิลลิลิตร ผสมน้ำ 60-80 ลิตร ต่อพื้นที่ 1 ไร่
หลังวัชพืชงอก (Post-emergence)
- 2,4-ดี (2,4-D Dimethylamine):
เป็นสารกำจัดวัชพืชที่มีฤทธิ์ต่อพืชใบกว้าง- อัตราการใช้: 200-300 มิลลิลิตร ผสมน้ำ 60-80 ลิตร ต่อพื้นที่ 1 ไร่
- อะมีทรีน (Ametryn):
ใช้กำจัดวัชพืชใบกว้างและใบแคบในแปลงเกษตร โดยดูดซึมผ่านใบและราก- อัตราการใช้: 500 กรัม ผสมน้ำ 60-80 ลิตร ต่อพื้นที่ 1 ไร่
ถึงแม้ ผักเบี้ยใหญ่ จะกลายเป็นวัชพืช หากขึ้นในพื้นที่ที่ไม่ต้องการ แต่ในตัวมันเองก็สามารถ
นำมาใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น
การใช้เป็นอาหาร
สามารถรับประทานได้ทั้งสดและปรุงสุก
- ในอาหารสด:
- ใบและลำต้นอ่อนสามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในสลัดสด คล้ายกับผักกาดหอม
- มีรสชาติเปรี้ยวอ่อน ๆ และกรอบ ทำให้เหมาะสำหรับเมนูสุขภาพ
- ในอาหารปรุงสุก:
- สามารถลวก ต้ม หรือนำไปผัดร่วมกับอาหารประเภทต่าง ๆ เช่น ซุป แกง หรือเมนูผัด
- ในบางวัฒนธรรม เช่น ตะวันออกกลาง นิยมนำมาดองหรือปรุงเป็นเมนูคล้ายสตูว์
- คุณค่าทางโภชนาการ:
ผักเบี้ยใหญ่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญ ได้แก่- กรดไขมันโอเมก้า-3: ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
- วิตามินเอและซี: เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- แร่ธาตุ: เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม โพแทสเซียม และธาตุเหล็ก
การใช้เป็นสมุนไพร
ในตำราแพทย์แผนโบราณทั่วโลก ผักเบี้ยใหญ่ถูกนำมาใช้เพื่อบำบัดอาการต่าง ๆ ดังนี้:
- ลดการอักเสบ:
มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินอี และสารฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย - บรรเทาอาการระบบทางเดินปัสสาวะ:
ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ และช่วยรักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ - บรรเทาอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร:
- ใบและลำต้นมีสารเมือกที่ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร
- ช่วยบรรเทาอาการท้องเสียและป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
- ลดความดันโลหิต:
เนื่องจากมีโพแทสเซียมสูง ช่วยควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกายและลดความดันโลหิต - แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย:
ผักเบี้ยใหญ่บดหรือคั้นน้ำสามารถใช้ทาแผลเพื่อลดการระคายเคืองจากแมลงกัดต่อย
แม้ว่าผักเบี้ยใหญ่จะเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการและสมุนไพร แต่ในแง่ของการเกษตรนั้นถือเป็นวัชพืชที่ต้องควบคุมอย่างเหมาะสม การเลือกใช้วิธีการกำจัดทั้งแบบใช้สารเคมีและการควบคุมทางกายภาพอย่างเหมาะสม จะช่วยลดผลกระทบต่อพืชเพาะปลูกและสิ่งแวดล้อมได้
กำลังมองหา สารกำจัดวัชพืช อยู่รึเปล่าคะ? สั่งซื้อได้ที่นี่เลย
สินค้าทุกรายการ ขึ้นทะเบียนถูกต้อง ทางร้านมีใบอนุญาติจำหน่ายถูกต้องตามกฎหมายค่ะ
หากไม่สะดวกสั่งซื้อสินค้า ผ่านระบบในเว็บไซต์ กรุณาโทร 095-5419953 หรือ แอดไลน์ @luckyworm
แอดมินของเรายินดีให้บริการค่ะ