Last Updated on มกราคม 26, 2025 by admin
ปุ๋ยยูเรีย คือ อะไร?
ปุ๋ยยูเรีย (Urea Fertilizer) เป็นปุ๋ยเคมีชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมและใช้งานอย่างแพร่หลายในภาคการเกษตรทั่วโลก เพราะมีไนโตรเจน (N) ในปริมาณสูงถึง 46% ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยเฉพาะพืชที่ต้องการเสริมการเจริญของใบและลำต้น เช่น ข้าว พืชผัก และไม้ผล
ปุ๋ยยูเรีย สูตรเคมี คือ
CO(NH₂)₂ มีไนโตรเจน (N) เป็นส่วนประกอบสูงถึง 46% โดยน้ำหนัก ทำให้เป็นแม่ปุ๋ยไนโตรเจนที่สำคัญที่สุดในบรรดาปุ๋ยเคมีทั้งหมด ปุ๋ยยูเรียมีลักษณะเป็นเม็ดกลมสีขาว ละลายน้ำได้ดี และดูดความชื้นจากอากาศได้ง่าย
คุณสมบัติของปุ๋ยยูเรีย
- มีปริมาณไนโตรเจนสูง (46% N)
- ละลายน้ำได้ดี ทำให้พืชดูดซึมได้ง่าย
- มีราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับปุ๋ยไนโตรเจนชนิดอื่น
- ดูดความชื้นได้ง่าย ควรเก็บรักษาในที่แห้งและเย็น
- ให้ปฏิกิริยาเป็นกรดในดิน
ปุ๋ยยูเรีย ช่วยอะไร
- ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช
- ช่วยกระตุ้นการแตกใบอ่อนและการสร้างคลอโรฟิลล์ ทำให้ใบเขียวและต้นแข็งแรง
- เพิ่มผลผลิต
- เหมาะสำหรับพืชที่ต้องการไนโตรเจนในปริมาณมาก เช่น ข้าวโพด ข้าว และพืชใบต่างๆ
- ต้นทุนต่ำ
- ปุ๋ยยูเรียเป็นปุ๋ยที่มีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับปุ๋ยชนิดอื่นที่ให้ไนโตรเจน
- การใช้งานที่หลากหลาย
- สามารถใช้ได้ในทุกขั้นตอนการปลูก ตั้งแต่การเตรียมดินไปจนถึงการดูแลพืชหลังการเก็บเกี่ยว
วิธีการใช้ปุ๋ยยูเรีย
แบ่งออกเป็น 3 วิธีหลักๆ ดังนี้:
- การหว่าน:
- เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก เหมาะสำหรับการใช้กับพืชไร่ เช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อย และพืชอื่นๆ ที่ปลูกเป็นพื้นที่กว้าง
- วิธีการ: หว่านปุ๋ยยูเรียให้กระจายทั่วแปลง ก่อนหรือหลังการปลูกพืช ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชและช่วงเวลาการเจริญเติบโต
- ข้อควรระวัง: ควรหว่านปุ๋ยยูเรียในขณะที่ดินมีความชื้นพอเหมาะ เพื่อลดการสูญเสียไนโตรเจนจากการระเหย และควรหลีกเลี่ยงการหว่านปุ๋ยยูเรียในขณะที่มีลมแรง เพราะจะทำให้ปุ๋ยกระจายไม่สม่ำเสมอ
- การใส่เป็นแถว:
- เหมาะสำหรับการใช้กับพืชที่ปลูกเป็นแถว เช่น พืชผัก ไม้ผล และพืชอื่นๆ ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
- วิธีการ: ขุดร่องตื้นๆ ข้างแถวปลูกพืช แล้วใส่ปุ๋ยยูเรียลงในร่อง กลบดิน และรดน้ำตาม ควรใส่ปุ๋ยให้ห่างจากโคนต้นพอสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้ปุ๋ยสัมผัสกับรากโดยตรง ซึ่งอาจทำให้รากไหม้ได้
- ข้อควรระวัง: ควรใส่ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสมตามความต้องการของพืชแต่ละชนิด และควรใส่ปุ๋ยในขณะที่ดินมีความชื้น
- การละลายน้ำรด (ปุ๋ยยูเรียน้ำ):
- เหมาะสำหรับการใช้กับพืชผัก ไม้ดอก และพืชอื่นๆ ที่ต้องการการบำรุงอย่างรวดเร็ว
- วิธีการ: ละลายปุ๋ยยูเรียในน้ำตามอัตราส่วนที่เหมาะสม แล้วนำไปรดให้พืชทางดิน หรือฉีดพ่นทางใบ การฉีดพ่นทางใบจะช่วยให้พืชได้รับไนโตรเจนอย่างรวดเร็ว
- อัตราส่วน: อัตราส่วนการใช้ปุ๋ยยูเรียน้ำจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของพืชและช่วงเวลาการเจริญเติบโต โดยทั่วไปจะใช้อัตราส่วน 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 20 ลิตร สำหรับการฉีดพ่นทางใบ และ 5 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 20 ลิตร สำหรับการรดทางดิน
- ข้อควรระวัง: ควรฉีดพ่นปุ๋ยยูเรียน้ำในตอนเช้าหรือตอนเย็น ขณะที่อากาศไม่ร้อนจัด เพื่อลดการสูญเสียไนโตรเจนจากการระเหย และควรหลีกเลี่ยงการฉีดพ่นในขณะที่พืชกำลังออกดอก เพราะอาจทำให้ดอกร่วงได้
ปุ๋ยยูเรีย ใส่ตอนไหน ดีที่สุด ?
คำตอบ ควรใช้ปุ๋ยยูเรียในช่วงเช้าหรือเย็น เพื่อป้องกันการระเหยของไนโตรเจน และควรใส่ปุ๋ยในระยะที่พืชต้องการไนโตรเจนมาก เช่น ช่วงการเจริญเติบโตทางลำต้นและใบ สำหรับนาข้าว ควรใส่ปุ๋ยยูเรียหลังปักดำประมาณ 35-45 วัน หรือก่อนข้าวออกดอก 30 วัน
ปุ๋ยยูเรีย อันตรายไหม ?
คำตอบ ปุ๋ยยูเรียเป็นปุ๋ยเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการเกษตร มีประโยชน์ในการบำรุงพืช แต่หากใช้อย่างไม่ถูกต้องหรือไม่ระมัดระวังก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ทั้งต่อพืช ดิน สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ ได้เช่นกัน
1. อันตรายต่อพืช:
- อาการ “น็อคปุ๋ย” (Fertilizer Burn): การใช้ปุ๋ยยูเรียในปริมาณมากเกินไป หรือใส่ปุ๋ยใกล้โคนต้นมากเกินไป อาจทำให้รากพืชไหม้ ใบเหลือง เหี่ยวเฉา และตายในที่สุด อาการนี้เกิดจากความเข้มข้นของปุ๋ยที่สูง ทำให้เกิดการดึงน้ำออกจากเซลล์พืช
- การเจริญเติบโตผิดปกติ: การได้รับไนโตรเจนมากเกินไป อาจทำให้พืชมีใบสีเขียวเข้ม มีจำนวนใบมากผิดปกติ แต่ลำต้นอ่อนแอ ไม่แข็งแรง และเป็นโรคได้ง่าย ส่งผลให้ผลผลิตต่ำ
- การสะสมไนเตรทในพืช: การใช้ปุ๋ยยูเรียมากเกินไป อาจทำให้เกิดการสะสมไนเตรทในพืช ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยเฉพาะในผักใบ
2. อันตรายต่อดิน:
- ดินเป็นกรด: ปุ๋ยยูเรียมีฤทธิ์เป็นกรด การใช้ปุ๋ยยูเรียเป็นเวลานาน อาจทำให้ดินเป็นกรดมากขึ้น ส่งผลต่อการดูดซึมธาตุอาหารของพืช และส่งผลเสียต่อจุลินทรีย์ในดิน (อ้างอิง:
- ดินเค็ม: การใช้ปุ๋ยยูเรียในปริมาณมากเกินความจำเป็น จะทำให้มีปุ๋ยตกค้างในดิน ทำให้ดินเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางกายภาพ ทำให้ดินแข็ง รากพืชชอนไชหาอาหารได้ไม่ดี และทำให้ดินเค็ม
3. อันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์:
- การระคายเคือง: ปุ๋ยยูเรียอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อ ตา ผิวหนัง และทางเดินหายใจ หากสัมผัสโดยตรง
- การได้รับไนเตรท: การบริโภคพืชที่มีการสะสมไนเตรทสูง อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก อาจทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงผิดปกติ (Methemoglobinemia)
- อันตรายต่อสัตว์เคี้ยวเอื้อง: หากสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น โค ได้รับยูเรียในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดภาวะเป็นพิษจากยูเรีย มีอาการน้ำลายฟูมปาก หายใจลำบาก กล้ามเนื้อชัก และอาจถึงตายได้
ปุ๋ยยูเรีย ราคา เท่าไหร่?
ราคาปุ๋ยยูเรียในประเทศไทยมีความผันผวนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ช่วงเวลา ฤดูกาล ปริมาณการสั่งซื้อ และแหล่งจำหน่าย ทำให้ยากที่จะระบุราคาที่แน่นอน แต่โดยทั่วๆไปแล้ว กระสอบ 50 กก จะตกอยู่ที่ราวๆ 600-700 บาท
ราคาต่อตันอยู่ที่ราวๆ 11,000-13,000 บาท
การใช้ปุ๋ยยูเรียอย่างสมดุลและมีความรับผิดชอบ เป็นสิ่งสำคัญในการทำการเกษตรอย่างยั่งยืน การคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การรักษาสุขภาพของดิน และความปลอดภัยของผู้บริโภค จะช่วยให้การใช้ปุ๋ยชนิดนี้เกิดประโยชน์สูงสุดและสร้างผลดีในระยะยาว
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน